1. ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’s
Classical Connectionism) ธอร์นไดค์(ค.ศ.1814-1949) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
ซึ่งมีหลายรูปแบบบุคคลจะมีการลองผิดลองถูก(trial and error)ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด
เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว
และจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ
2. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning Theory)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติ(Classical conditioning)ของพาฟลอฟ พาฟลอฟ(Pavlov)ได้ทำการทดลองให้สุนัขนํ้าลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง
การเรียนรู้ของสุนัขเกิดจากการรู้จักเชื่อมโยงระหว่างเสียงกระดิ่ง
ผงเนื้อบดและพฤติกรรมนํ้าลายไหล
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสัน(Watson) วัตสัน(Watson)ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว
ก็ทำเสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กก็จะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว
ต่อมาทดลองให้นำหนูขาวมาให้เด็กดูโดยแม่จะกอดเด็กไว้จากนั้นเด็กก็จะค่อยๆหายกลัวหนูขาว
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง(Contiguous Conditioning)ของกัทธรีกัทธรีได้ทำการทดลองโดยปล่อยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา
มีเสาเล็กๆตรงกลาง มีกระจกที่ประตูทางออก มีปลาแซลมอนวางไว้นอกกล่อง
เสาในกล่องเป็นกลไกเปิดประตู แมวบางตัวใช้แบบแผนการกระทำหลายแบบเพื่อจะออกจากกล่อง
แมวบางตัวใช้วิธีเดียว
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์(Operant
Conditioning)ของสกินเนอร์(Skinner)สกินเนอร์(Skinner)ได้ทำการทดลองโดยนำหนูที่หิวจัดใส่กล่อง
ภายในมีคานบังคับให้อาหารตกลงไปในกล่องได้ ตอนแรกหนูจะวิ่งชนโน่นชนนี่
เมื่อชนคานจะมีอาหารตกมาให้กิน ทำหลายๆครั้งพบว่า
หนูจะกดคานทำให้อาหารตกลงไปได้เร็วขึ้น
3.ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์(Hull’s Systematic Behavior Theory)
ฮัลล์(Hull)ได้ทำการทดลองโดยฝึกหนูให้กดคาน โดยแบ่งหนูเป็นกลุ่มๆแต่ละกลุ่มอดอาหาร 24
ชั่วโมงและแต่ละกลุ่มมีแบบแผนในการเสริมแรงแบบตายตัวต่างกัน
บางกลุ่มกดคาน 5 ครั้ง จึงได้อาหารไปจนถึงกลุ่มที่กด 90
ครั้ง จึงได้อาหารและอีกพวกหนึ่งทดลองแบบเดียวกัน แต่อดอาหารเพียง 3
ชั่วโมง ผลปรากฏว่า ยิ่งอดอาหารมาก คือ มีแรงขับมาก
จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้มของนิสัย กล่าวคือ จะทำให้การเชื่อมโยงระหว่างอวัยวะรับสัมผัส
receptor)กับอวัยวะแสดงออก(effector)เข้มแข็งขึ้น
ดังนั้นเมื่อหนูหิวมากจึงมีพฤติกรรมกดคานเร็วขึ้น สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม คือ มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง
คือ ไม่ดี – ไม่เลว การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก
พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับพฤติกรรมมากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด
สามารถวัดและทดสอบได้มีทฤษฎีที่สำคัญอยู่ 3 กลุ่มคือ -
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’s Classical Connectionism) - ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning Theory) - ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์(Hull’s
Systematic Behavior Theory)
4.กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
กลุ่มจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของ“จิตไร้สำนึก”(uncoscious mind)ว่า
มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม กลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่ม “พลังที่หนึ่ง”(The
first force)ที่แหวกวงล้อมจากจิตวิทยายุคเดิม
นักจิตวิทยาในกลุ่มจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่
ฟรอยด์(Sigmund Freud,1856-1939)และส่วนใหญ่แนวคิดในกลุ่มจิตวิเคราะห์นี้เป็นของฟรอยด์ซึ่งเป็นจิตแพทย์
ชาวออสเตรีย เป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์(Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนาPsychosexualโดยเชื่อว่าเพศหรือกามารมณ์(sex)เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์
แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการสนใจศึกษาและสังเกตผู้ป่วยโรคประสาท
ด้วยการให้ผู้ป่วยนอนบนเก้าอี้นอนในอิริยาบถที่สบายที่สุด
จากนั้นให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องราวของตนเองไปเรื่อยๆ
ผู้รักษาจะนั่งอยู่ด้านศีรษะของผู้ป่วย
คอยกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้พูดเล่าต่อไปเรื่อยๆเท่าที่จำได้
และคอยบันทึกสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าอย่างละเอียด โดยไม่มีการขัดจังหวะ แสดงความคิดเห็น
หรือตำหนิผู้ป่วย
ซึ่งพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ป่วย
และจากการรักษาด้วยวิธีนี้เอง จึงทำให้ฟรอยด์เป็นคนแรกที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์
เขาอธิบายว่า จิตของคนเรามี 3 ส่วน คือ จิตสำนึก(conscious
mind)จิตกึ่งรู้สำนึก(preconscious mind)และจิตไร้สำนึก
(unconscious mind)ซึ่งมีลักษณะดังนี้
เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนมากกำหนดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด
สัญชาตญาณเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก
เขาเชื่อว่าการทำงานของจิตแบ่งเป็น 3 ระดับ
เปรียบเสมือนก้อนนํ้าแข็งลอยอยู่ในทะเล คือ
1.จิตรู้สำนึก(Conscious
mind)เป็นส่วนที่โผล่ผิวนํ้าขึ้นมา ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก
เป็นสภาพที่รู้ตัวว่าคือใคร อยู่ที่ไหน ต้องการอะไร
หรือกำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งใด
เมื่อแสดงพฤติกรรมอะไรออกไปก็แสดงออกไปตามหลักเหตุและผล
แสดงตามแรงผลักดันจากภายนอก สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง(principle of
reality)
2.จิตกึ่งรู้สำนึก(Preconscious mind)เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ๆผิวนํ้า
เป็นจิตที่เก็บสะสมข้อมูลประสบการณ์ไว้มากมาย
มิได้รู้ตัวในขณะนั้นแต่พร้อมให้ดึงออกมาใช้ พร้อมเข้ามา อยู่ในระดับจิตสำนึก เช่น
เดินสวนกับคนรู้จัก เดินผ่านเลยมาแล้วนึกขึ้นได้รีบกลับไปทักทายใหม่ เป็นต้น
และอาจถือได้ว่าประสบการณ์ต่างๆที่เก็บไว้ในรูปของความจำก็เป็นส่วนของจิตกึ่งรู้สำนึกด้วย
เช่น ความขมขื่นในอดีต ถ้าไม่คิดถึงก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่ถ้านั่งทบทวนเหตุการณ์ทีไรก็ทำให้เศร้าได้ทุกครั้ง เป็นต้น
3.จิตไร้สำนึก(Unconscious
mind)เป็นส่วนใหญ่ของก้อนนํ้าแข็งที่อยู่ใต้นํ้า ฟรอยด์เชื่อว่า
จิตส่วนนี้มีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ กระบวนการจิตไร้สำนึกนี้ หมายถึง
ความคิด ความกลัว และความปรารถนาของมนุษย์
ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเก็บกดไว้โดยไม่รู้ตัวแต่มี
อิทธิพลต่อเขา พลังของจิตไร้สำนึกอาจจะปรากฏขึ้นในรูปของความฝัน
การพลั้งปากหรือการแสดงออกมาเป็นกิริยาอาการที่บุคคลทำโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น
ฟรอยด์ เชื่อว่า
มนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด
พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม
คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ
1.สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต(eros
= life instinct)
2.สัญชาตญาณเพื่อความตาย(thanatos
= death instinct)
โครงสร้างบุคลิกภาพ (The
personality structure) ฟรอยด์
เชื่อว่าโครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลมี 3 ประการ คือ
1.ตนเบื้องต้น(id)
คือ ตนที่อยู่ในจิตไร้สำนึก เป็นพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
มุ่งแสวงหา ความพึงพอใจ(pleasure seeking principles)และเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น
โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้อง และความเหมาะสม ประกอบด้วย
ความต้องการทางเพศและความก้าวร้าว เป็นโครงสร้างเบื้องต้นของจิตใจ
และเป็นพลังผลักดันให้ ego ทำในสิ่งต่างๆ ตามที่ id ต้องการ
2.ตนปัจจุบัน(ego)คือ พลังแห่งการใช้หลักของเหตุและผลตามความเป็นจริง(reality
principle)เป็นส่วนของความคิดและสติปัญญา ตนปัจจุบัน
จะอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
3.ตนในคุณธรรม(superego)คือ ส่วนที่ควบคุมการแสดงออกของบุคคลในด้านคุณธรรม ความดี ความชั่ว
ความถูกผิด มโนธรรม และจริยธรรมที่สร้างโดยจิตใต้สำนึกของบุคคลนั้น
ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการเรียนรู้ในสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ
ตนในคุณธรรมจะทำงานอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
การทำงานของตนทั้ง
3 ประการ
จะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้
แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด
และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้
นอกจากนี้ฟรอยด์ใช้วิธีการวิเคราะห์ความฝันของผู้มีปัญหา เขาเชื่อว่า
ความฝันมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่ได้ประสบมาในชีวิตจริงปัญหาต่างๆที่แก้ไม่ได้อาจจะไปแสดงออกในความฝัน
เพื่อเป็นการระบายออกของพฤติกรรมอีกทางหนึ่ง
5.กลุ่มเกสตัลท์(Gestalt
Psychology)
นักจิตวิทยาคนสำคัญกลุ่มนี้ได้แก่ Max Werthimer,Kurt Koffka และWolfgang Kohlerทั้งหมดเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว
กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยรับสิ่งเร้าที่อยู่นิ่งเฉยเท่านั้น
แต่จิตมีการสร้างกระบวนการประมวลข้อมูลที่รับเข้ามาและส่งผลออกไปเป็นข้อมูลใหม่หรือสารสนเทศชนิดใหม่นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม
กลุ่มนี้เน้นอธิบายว่า
การเรียนรู้เกิดจากการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน
เพราะคนเราจะรับรู้สิ่งต่างๆในลักษณะรวมๆได้ดีกว่ารับรู้ส่วนปลีกย่อย
กลุ่มนี้เห็นว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อมีการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน
มนุษย์จะรับในสิ่งที่ตนเองสนใจเท่านั้น สิ่งใดที่สนใจรับรู้จะเป็นภาพ
สิ่งใดที่ไม่ได้สนใจรับรู้จะเป็นพื้น ดังเช่น รูปภาพข้างบนถ้าสนใจมองที่สีขาว
เราจะมองเห็นเป็นแก้ว แต่ถ้าเราสนใจมองสีดำเราจะเห็นเป็น
รูปคนสองคนกำลังหันหน้าเข้าหากัน
คำว่า เกสตัลท์(Gestalt)เป็นภาษาเยอรมัน
ความหมายเดิมแปลว่า แบบหรือรูปร่าง (Gestalt = form or Pattern) ต่อมาปัจจุบัน แปลว่า ส่วนรวมหรือส่วนประกอบทั้งหมด(Gestalt =The
wholeness)
กลุ่มเกสตัลท์
มีแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดจากการจัดสิ่งเร้าต่าง มารวมกัน
เริ่มต้นด้วยการรับรู้โดยส่วนรวมก่อนแล้ว
จึงจะสามารถวิเคราะห์เรื่องการเรียนรู้ส่วนย่อยทีละส่วนต่อไป ต่อมาเลวิน ได้นำเอาทฤษฎีเกสตัลท์มาปรับปรุงเป็นทฤษฎีสนาม(Field
theory โดยนำความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์มาอธิบายทฤษฎีของเขาแต่ก็ยังคงใช้หลักการเดียวกัน
นั่นคือการเรียนรู้ของบุคคลจะเป็นไปได้ด้วยดีและสร้างสรรค์ถ้าเขาได้มีโอกาสเห็นภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่จะเรียนเสียก่อน
เมื่อเกิดภาพรวมทั้งหมดแล้วก็เป็นการง่ายที่บุคคลนั้นจะเรียนสิ่งที่ละเอียดปลีกย่อยต่อไป ปัจจุบันได้มีผู้นำเอาวิธีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์มาใช้อย่างกว้างขวางโดยเหตุที่เขา
เชื่อในผลการศึกษาค้นคว้าที่พบว่า
ถ้าให้เยาวชนได้เรียนรู้โดยหลักของเกสตัลท์แล้วเขาเหล่านั้นจะมีสติปัญญา
ความคิดสร้างสรรค์ และความรวดเร็วในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
หลักการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์
กลุ่มเกสตัลท์ เชื่อว่า การเรียนรู้ที่เห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยนั้น
จะต้องเกิดจากประสบการณ์เดิม และการเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้น 2 ลักษณะ
คือ
1.การรับรู้(Perception)การรับรู้ หมายถึง
การแปลความหมายหรือการตีความต่อสิ่งเร้าของอวัยวะรับสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งห้าส่วน
ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง การตีความนี้ มักอาศัยประสบการณ์เดิม
ดังนั้นแต่ละคนอาจรับรู้ในสิ่งเร้าเดียวกันแตกต่างกันได้ แล้วแต่ประสบการณ์ เช่น
นางสาว ก. เห็นสีแดงแล้วนึกถึงเลือด แต่นางสาว
ข.เห็นสีแดงอาจนึกถึงดอกกุหลาบสีแดงก็ได้
2.การหยั่งเห็น(Insight) การหยั่งเห็น หมายถึง
การเรียนรู้ด้วยตนเอง
โดยจะเกิดแนวความคิดในการเรียนรู้หรือการแก้ปัญหาขึ้นอย่างฉับพลันทันทีทันใด(เกิดความคิดแวบขึ้นมาในสมองทันที)มองเห็นแนวทางการแก้ปัญหาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเป็นขั้นตอนจนถึงจุดสุดท้ายที่สามารถจะแก้ปัญหาได้
เช่น การร้องออกมาว่ายูเรก้าของอาร์คีเมดิสเพราะเกิดการหยั่งเห็น(Insight)ในการแก้ปัญหาการหาปริมาตรของมงกุฎทองคำด้วยวิธีการแทนที่นํ้า
ว่าปริมาตรของมงกุฎที่จมอยู่ในนํ้าจะเท่ากับปริมาตรของนํ้าที่ล้นออกมา
แล้วใช้วิธีการนี้หาปริมาตรของวัตถุที่มีรูปทรงไม่เป็นเรขาคณิตมาจนถึงบัดนี้
การเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ที่เน้น
“การรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย”นั้น
ได้สรุปเป็นกฎการเรียนรู้ของทั้งกลุ่ม 4 กฎ เรียกว่า
กฎการจัดระเบียบเข้าด้วยกัน(The Laws of Organization) ดังนี้
1.กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน(Law of Pregnant)
2.กฎแห่งความคล้ายคลึง(Law of Similarity)
3.กฎแห่งความใกล้ชิด(Law of Proximity)
4.กฎแห่งการสิ้นสุด(Law of Closure)
โดยกำหนดFigureและBackground แต่ในที่นี้ขอเสนอพอสังเขป ดังนี้
แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้
คือ การพิจารณาพฤติกรรมหรือประสบการณ์ของคนเป็นส่วนรวม
ซึ่งส่วนรวมนั้นมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อยต่างๆ มารวมกัน เช่น
คนนั้นมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อยต่างๆมารวมตัวกันเป็นคน ได้แก่ แขน ขา ลำตัว
สมองฯลฯ
จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์นิยม จึงหมายถึง
จิตวิทยาที่ยึดถือเอาส่วนรวมทั้งหมดเป็นสำคัญ
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ยังมีความเห็นอีกว่า
การศึกษาทางจิตวิทยานั้นจะต้องศึกษาพฤติกรรมทางจิตเป็นส่วนรวมจะแยกศึกษาที่ละส่วนไม่ได้
กลุ่มGESTALISM เห็นว่าวิธีการของ BEHAVIORISM ที่พยายามจะแยกพฤติกรรมออกมาเป็นหน่วยย่อย เช่น
เป็นสิ่งเร้าและการตอบสนองนั้นเป็นวิธีการไม่ใช่เรื่องของจิตวิทยา
น่าจะเป็นเรื่องของเคมีหรือศาสตร์บริสุทธิ์แขนงอื่นๆ ดังนั้นกลุ่ม GESTALISM
จึงไม่พยายามแยกพฤติกรรมออกเป็นส่วนๆ
แล้วศึกษารายละเอียดของแต่ละส่วนเหมือนกลุ่มอื่นๆ
แต่ตรงกันข้ามจะพิจารณาพฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์ทุกๆอย่างเป็นส่วนรวม
เน้นในเรื่องส่วนรวม(WHOLE)มากกว่าส่วนย่อย
เพ่งเล็งถึงส่วนทั้งหมดในลักษณะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(UNIQUE)
6.กลุ่มมนุษยนิยม(Humanistic
Perspective)
แนวคิดกลุ่มมนุษย์นิยม(The Humanistic Perspective) เชื่อว่า มนุษย์มีอิสระทางความคิดที่สามารถเลือกแสดงพฤติกรรมได้
การแสดงพฤติกรรมใดๆ จึงเป็นทางเลือกของบุคคล ซึ่งทุกคนมีศักยภาพในการเจริญงอกงาม
หรือพัฒนา นักจิตวิทยากลุ่มนี้ ได้แก่ มาสโลว์(Abraham Maslow)และคาร์ล โรเจอส์(Carl Rogers)
มาสโลว์(Maslow)
กล่าวถึง ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการไว้ 5 ขั้นตอน
ดังนี้
1.ความต้องการทางกายภาพ(Physiological
Needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
ได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการพักผ่อน
และความต้องการทางเพศ เป็นต้น
2.ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย(Safety
Needs and Needs for Security) ถ้าต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ต้องการความเป็นธรรมในการทำงาน ความปลอดภัยในเงินเดือนและการถูกไล่ออก
สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาล
รวมทั้งความเชื่อในศาสนาและเชื่อมั่นในปรัชญา
ซึ่งจะช่วยให้บุคคลอยู่ในโลกของความเชื่อของตนเองและรู้สึกมีความปลอดภัย
3.ความต้องการมีส่วนร่วมในสังคม(Social
Belonging Needs)เมื่อความต้องการทางด้านร่างกา
และความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว
ความต้องการทางด้านสังคมก็จะเริ่มเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมของบุคคล
เป็นความต้องการที่จะให้สังคมยอมรับตนเป็น
สมาชิก ต้องการได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ
ได้รับความเป็นมิตรและความรักจากเพื่อนร่วมงาน
4.ความต้องการยกย่องนับถือ(Esteem
Needs) ความต้องการด้านนี้
เป็นความต้องการระดับสูงที่เกี่ยวกับความอยากเด่นในสังคม
ต้องการให้บุคคลอื่นยกย่องสรรเสริญ
รวมถึงความเชื่อมั่นในตนเองในเรื่องความรู้ความสามารถ ความเป็นอิสระ และเสรีภาพ
5.ความต้องการบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจ(Need
for Self Actualization) เป็นความต้องการระดับสูงสุด
ซึ่งเป็นความต้องการที่อยากจะให้เกิดความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่างตามความนึกคิดของตนเอง
เป็นความต้องการที่ยากแก่การได้มา
1.)มนุษย์ทุกคนมีความต้องการ
ความต้องการที่มนุษย์นี้จะอยู่ในตัวมนุษย์ตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อสนใจในความต้องการหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องการในระดับที่สูงขึ้น
2.)อิทธิพลใดๆ
ที่จะมีผลต่อความต้องการของมนุษย์อยู่ในความต้องการลำดับขั้นนั้นๆ เท่านั้น
หากความต้องการลำดับขั้นนั้นได้รับการสนองให้พอใจแล้วความต้องการนั้นก็จะหมดอิทธิพลไป
3)ความต้องการของมนุษย์จะมีลำดับขั้นจากตํ่าไปหาสูง
เมื่อความต้องการขั้นตํ่าได้รับการตอบสนองเป็นที่พอใจแล้ว
ความต้องการลำดับสูงขึ้นไปก็ตามมา
คาร์ล โรเจอร์ส(CarlRogers)มีความเห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีและมีความสำคัญมาก
โดยมีความพยายามที่จะพัฒนาร่างกายให้มีความเจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพสูงสุด
โรเจอร์สตั้งทฤษฏีขึ้นมาจากการศึกษาปัญหาพฤติกรรมของคนไข้จากคลินิกของเขา
และได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่เกิดจากสุขภาพเป็นอย่างมาก ทฤษฏีของโรเจอร์เน้นถึงเกียรติของบุคคล
ซึ่งบุคคลมีความสามารถที่จะทำการปรับปรุงชีวิตของตนเองเมื่อมีโอกาสเข้ามิใช่จะเป็นเพียงแต่เหยื่อ
ในขณะที่มีประสบการณ์ในสมัยที่เป็นเด็กหรือจากแรงขับของจิตใต้สำนึก
แต่ละบุคคลจะรู้จักการสังเกตสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา โดยมีแนวทางเฉพาะของบุคคล
กล่าวได้ว่า เป็นการรับรู้สภาพสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความสำคัญมาก โรเจอร์เชื่อว่า
มนุษย์ทุกคนมีตัวตน 3 แบบ
1.ตนที่ตนมองเห็น(Self
Concept) ภาพที่ตนเห็นเองว่าตนเป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถ
ลักษณะเพราะตนอย่างไร เช่น สวย รวย เก่ง ตํ่าต้อย ขี้อายฯลฯ
การมองเห็นอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือภาพที่คนอื่นเห็น
2.ตนตามที่เป็นจริง
(Real Self) ตัวตนตามข้อเท็จจริง
แต่บ่อยครั้งที่ตนมองไม่เห็นข้อเท็จจริง เพราะอาจเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจ
ไม่เท่าเทียมกับบุคคลอื่น เป็นต้น
3.ตนตามอุดมคติ(Ideal
Self) ตัวตนที่อยากมีอยากเป็น แต่ยังไม่มี ไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน
เช่น ชอบเก็บตัวแต่อยากเก่งเข้าสังคม เป็นต้น
ถ้าตัวตนทั้ง
3 ลักษณะ ค่อนข้างตรงกันมากจะทำให้มีบุคลิกภาพมั่นคง
แต่ถ้าแตกต่างกันสูง จะมีความสับสนและอ่อนแอด้านบุคลิกภาพ
โรเจอร์ วางหลักไว้ว่า
บุคคลถูกกระตุ้นโดยความต้องการสำหรับการยอมรับนับถือทางบวก
นั่นคือความต้องการความรัก การยอมรับและความมีคุณค่า
บุคคลเกิดมาพร้อมกับความต้องการ การยอมรับนับถือในทางบวก
และจะได้รับการยอมรับนับถือโดยอาศัยการศึกษาจากการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของบุคคลอื่น
ทฤษฏีของโรเจอร์
กล่าวว่า “ตนเอง”(Self) คือ
การรวมกันของรูปแบบ ค่านิยม เจตคติ การรับรู้ และความรู้สึก
ซึ่งแต่ละบุคคลมีอยู่และเชื่อว่า เป็นลักษณะเฉพาะของเขาเอง ตนเอง หมายถึง ฉัน
และตัวฉันเป็นศูนย์กลางที่รวมประสบการณ์ทั้งหมดของแต่ละบุคคล ภาพพจน์นี้เกิดจากการที่แต่ละบุคคลมีการเรียนรู้ตั้งแต่วัยเริ่มแรกชีวิต
ภาพพจน์นั่นเอง สำหรับบุคคลที่มีการปรับตัวดีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่
และมีการปรับตัวตามประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่การสังเกตและการรับรู้
เป็นเรื่องของตนเองที่ปรับให้เข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เช่น
พนักงานบางคนมีการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพต่อสภาพสิ่งแวดล้อมในการทำงานและการเป็นผู้นำ
7.กลุ่มปัญญานิยม(Cognitive
Psychology)
ผู้นำกลุ่มคนสำคัญ คือ เพียเจต์ บรูเนอร์ และวายเนอร์ หลังปีค.ศ.1960
กลุ่มแนวคิดปัญญานิยมได้รับความสนใจอย่างมาก
แนวคิดกลุ่มปัญญานิยม สนใจศึกษาเรื่องกระบวนการทางจิต ซึ่งเป็น
พฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ได้แก่ การรับรู้ การจำ การคิด
และความเข้าใจ เช่น ขณะที่เราอ่านหนังสือ เราจะทราบความสำคัญของข้อความ คำต่างๆ
เนื้อหาของเรื่องมากกว่าการรับรู้ตัวอักษร
นักวิจัยในกลุ่มปัญญานิยมสนใจศึกษากระบวนการทางจิต
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มองไม่เห็นภายในตัวบุคคลด้วยวิธีการวัดแบบวิทยาศาสตร์
แนวความคิดของกลุ่มนี้เชื่อว่า มนุษย์จะเป็นผู้กระทำต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าทำตามสิ่งแวดล้อม
เพราะจากความรู้ ความเชื่อ และความมีปัญญาของมนุษย์
จะทำให้มนุษย์สามารถจัดการกับข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาในสมองมนุษย์ได้ เช่น ยูริค
ไนเซอร์(Ulric Neisser) กล่าวว่า
บุคคลต้องแปลผลสิ่งที่รับรู้มาเพื่อให้เข้าใจโลกรอบตัวของเขาได้
ดังนั้นเป้าหมายของนักจิตวิทยากลุ่มนี้คือ สามารถระบุเจาะจงได้ว่า
กระบวนการของจิตเกี่ยวข้องกับการแปลความหมายสิ่งที่บุคคลรับเข้ามา
แล้วส่งต่อให้หน่วยรับข้อมูล เพื่อแปลผลอีกครั้งหนึ่งว่า
มีกลไกอย่างไรบ้างที่ช่วยจัดระบบระเบียบการจำและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พบเห็นได้ด้วยวิธีใด
การทำงานของระบบความจำ และการใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา
วิธีการศึกษาของนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม
จะเน้นวิธีการทดลองเป็นส่วนใหญ่ เช่น
การทดลองให้ผู้รับการทดลองตั้งเทียนไขให้ขนานกับแนวฝาผนังโดยไม่มีอุปกรณ์ให้
ผู้รับการทดลองต้องใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ ซึ่งมักจะประสบความยุ่งยากในการแก้ปัญหา
และต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆจากการใช้อุปกรณ์ที่มี จากการทดลองนี้วิธีคิดแบบเก่าๆ
จะมีผลสกัดกั้นความคิดใหม่ๆได้
เพราะฉะนั้นบุคคลจะมีวิธีการเอาชนะวิธีคิดที่ตนเองคุ้นเคยได้อย่างไร และบุคคลจะสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร